วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

so sang gggg !

เบื่อออ อ !
บางทีมันก็ ยากเกินไปมั้ย
บางทีก็ดูเหมือนจะไม่สนใจ


พูดยาก
แต่มันเหนื่อย เหนื่อยว่ะ

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บาดเจ็บจาก concert

เพิ่งได้ดูข่าว ท่างช่อง 9
ว่าคนที่ไปคอน มีคนบาดเจ็ดด้วย จากเอฟเฟค
แต่พูดถึง เอฟเฟคมันอลังการมากเลยนะ
โดนที่ หน้า มือ หลัง
บางคนที่โดนที่มือ ก็ทนดูคอนต่อจนจบ
บางคนฏ้หามส่งโรงพยาบาลในขณะที่คอนยังเล่นต่อไปเรื่อยๆ
โชคดี เราไม่ดูตรงนั้น 55
สงสารพรีไทยที่โดนนะ
ขอให้หายเร็วๆล่ะ


แต่ทางเจ้าของงานก็ออกมารับผิดชอบค่าเสียหายนะ

ครั้งหนึ่งในชีวิต

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
เราได้ไป คอนเสิร์ต 2010 FTisland asia tour concert in bkk
สนุกมากๆ บัตรแสนแพง ประทับใจจัง ดีใจที่ได้เห็นเอฟทีตัวจริงนะ
สองชั่วโมง ผ่านไปเร็วกว่าที่คิด คิดถึงจัง
อยากเจออีก

พวกพี่ทำเต็มที่มาก มินฮวานเต้น สุดยอดอ่ะ ><
โปรเจค the one ล่มไม่เป็นท่าเลยแฮะ
เห้อ
เอฟทีกลับแล้วสินะ


เราคงจะได้เจอกันอีกครั้งงนะ

ย่อความหัวใจชายหนุ่ม ฉบับที่ 18

ฉบับที่ สิบแปด
นายประพันธ์ เขียนจดหมายถึงนายประเสริฐ และเล่าว่าแม่อุไรได้แต่งงานกับหลวงพิเศษผลพานิช เป็นพ่อค้ามั่งมี รวยมากๆ ถึงรูปร่างหน้าตาไม่ดี แต่ก็รวย นายประพันธ์ก็หายห่วงแม่อุไร ที่มีสามีที่จะดูแลหล่อนแล้ว
นายประพันธ์เล่าต่อว่า ตนได้รักผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว ชื่อ ศรีสมาน เป็นลูกของ พระยาพิสิฐเสวก ก็คุยกันถูกคอ และที่สำคัญพ่อของหล่อนกับพ่อของตนก็รู้จักคุ้นเคยกันอย่างดี และบอกให้ประเสริฐ เตรียมตัวมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวได้เลย

ย่อความหัวใจชายหนุ่ม ฉบับที่ 15 , 17

ฉบับที่สิบห้า

นายประพันธ์ เขียนจดหมายถึงนายประเสริฐ เล่าว่าพระยาตระเวนได้ทิ้งแม่อุไร ไม่พาไปงานเต้นรำ และแสดงตนว่าเป็นชายโสดเสียด้วย และเขาได้เต้นรำ สร้อย พาไปกินข้าวด้วยกัน เต้นรำกันหลายหน แม่อุไรก็ไม่ได้โวยวายมากนักเพราะคงคิดว่าถ้าโวยวายคงลำบากเป็นแน่
นายประพันธ์พูดว่า ประเทศไทยควรถือว่า มีเมียเดียว เหมือนเมืองนอกเสียที ผู้ชายควรจะเปลี่ยนความประพฤติเสียที

ฉบับที่ สิบเจ็ด

นายประพันธ์ เขียนจดหมายถึงนายประเสริฐ และกล่าวขอโทษว่าที่ผ่านมาคอยแต่พูดเรื่องซ้อมรบ แล้วเมื่อไม่กี่วันแม่อุไรได้มาหาตนที่บ้านแล้วสารถาพผิด กล่าวขอโทษ และอ้อนวอนให้ไปเป็นสามีหล่อนอย่างเก่า แล้วหล่อนจะไม่ทำตัวแบบเดิม จะเป็นภรรยาที่ดี แต่นายประพันธ์ปฎิเสธ
ให้แม่อุไรไปปคืนดีกับพ่อเสีย หลังจากนั้นแม่อุไรก็ไปง้อพ้อลของหล่อน ทั้งคู่จึงปรองดองกันเหมือนเดิม

ย่อความหัวใจชายหนุ่ม ฉบับที่ 15 , 17

ฉบับที่สิบห้า

นายประพันธ์ เขียนจดหมายถึงนายประเสริฐ เล่าว่าพระยาตระเวนได้ทิ้งแม่อุไร ไม่พาไปงานเต้นรำ และแสดงตนว่าเป็นชายโสดเสียด้วย และเขาได้เต้นรำ สร้อย พาไปกินข้าวด้วยกัน เต้นรำกันหลายหน แม่อุไรก็ไม่ได้โวยวายมากนักเพราะคงคิดว่าถ้าโวยวายคงลำบากเป็นแน่
นายประพันธ์พูดว่า ประเทศไทยควรถือว่า มีเมียเดียว เหมือนเมืองนอกเสียที ผู้ชายควรจะเปลี่ยนความประพฤติเสียที

ฉบับที่ สิบเจ็ด

นายประพันธ์ เขียนจดหมายถึงนายประเสริฐ และกล่าวขอโทษว่าที่ผ่านมาคอยแต่พูดเรื่องซ้อมรบ แล้วเมื่อไม่กี่วันแม่อุไรได้มาหาตนที่บ้านแล้วสารถาพผิด กล่าวขอโทษ และอ้อนวอนให้ไปเป็นสามีหล่อนอย่างเก่า แล้วหล่อนจะไม่ทำตัวแบบเดิม จะเป็นภรรยาที่ดี แต่นายประพันธ์ปฎิเสธ
ให้แม่อุไรไปปคืนดีกับพ่อเสีย หลังจากนั้นแม่อุไรก็ไปง้อพ้อลของหล่อน ทั้งคู่จึงปรองดองกันเหมือนเดิม

ย่อความหัวใจชายหนุ่ม ฉบับที่ 12 , 13

ฉบับที่ สิบสอง
นายประพันธ์เขียนจดหมายถึงนายประเสริฐ และแม่อุไรได้แท้งลูกแล้ว หลังจากนั้นก็ทราบได้ทันทีถึงการกระทำของหล่อนว่า สิ้นรักต่อตนแล้ว และมีเหตุการ์ณมากมาย อย่างแม่อุไรไปสร้างหนี้ พันบาทในขณะที่เงินเดือนของนายประพันธ์ ได้รับแค่เพียง สองร้อย บาทเท่านั้นพอเตือน หล่อนก็มีผลคือ หล่อนไปสร้างหนี้เพิ่มอีก นายประพันธ์ จึงต้องไปขอให้พ่อช่วย ใช้หนี้ให้แม่อุไร
และได้ทราบข่าวว่าแม่อุไรนั่งรถไปกับพระยาตระเวนนครที่มีชื่อเรื่องเจ้าชู้ ตนจึงเขียนจดหมยไปเตื่นแม่อุไร และอ้อนวอนให้หล่อนกลับมา แต่ก็ถูกปฎิเสธ
และเมื่อปลายเดือน รู้ว่าแม่อุไรค้างบ้านพระยาตระเวนนคร นายประพันธ์ จึงทำเรื่องขอหย่า และตอนนี้ก็ได้หย่ากับแม่อุไรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนน้ตยก็ได้รนับบทเรียนว่าไม่ควรรีบร้อนหาคู่

ฉบับที่ สิบสาม

นายประพันธ์ เขียนจดหมายถึงนายประเสริฐ โดยเล่าว่าหลังจากที่หย่ากับแกแม่อุไรอแล้ว ประไพ น้องสาวตนก็มาเยี่ยมบ่อยๆ แม่อุไรก็ไปอยู่ลบ้านพระยาตระเวนนั้น มีเมียอยู่แล้ง เจ็ดคน หลังพระยาตระเวนไม่อยู่ก็ดดนนางทั้งเจ็ด รังแก จึงร้องหใพระยาตระเวนสร้างบ้านหลังใหม่ให้
เขาได้เล่าว่า จะได้อยู่ในกรมบัญชาการมหาดเล้ก และได้ย้ายมาเป็นผู้ช่วยเจ้ากรม โรงเรียนพระราชูปถัมป์

ย่อความหัวใจชายหนุ่ม ฉบับที่ 9 , 11

ฉบับที่ เก้า
นายประพันธ์ เขียนจดหมายนายประเสริฐ ว่าตนได้แต่งงานกับแม่อุไรแล้ว โดยขอร้องให้พ่อของตนไปสู่ขอ แต่พ่อก็เอะอะกลับมาว่า ให้รอไป หนึ่ง ปี ก่อน ถ้ายังชอบอยู่ จึงจะให้แต่งงาน นายประพันธ์ จึงบอกว่าถ้ารอขนาดนั้นคงได้หลานก่อน พ่อของนายประพันธ์ จึงยอมให้แต่ง เพราะถือว่าไปล่วงเกินม่ายหญิงแล้ว
หลังจากที่แต่งงานแล้วกันก็ฮันนี่ ที่หัวหิน แต่ช่วงฤดูที่ไม่มีคนเที่ยวมาก กลัวแม่อุไรจะเบื่อ เพราะแม่อุไรเป็นคนชอบสมาคม

ฉบับที่สิบเอ็ด
นายประพันธ์ เขียนจดหมายอนายประเสริฐ แล้วเล่าถึงเรื่องราวที่ตนมีปากเสียงกับแม่อุไร ภรรยาของตนโดยบอกอายมากเพราะทะเลาะกันกลางเมือง โดยตนพยายามอดทนถึงที่สุดแล้ว เพราะถือว่าโกรธไปก็ไม่ดี แต่แม่อุไรกลับคิดว่าถ้าโกรธสามีต่อหน้าคนอื่นถือว่าเป็นเกรีติแก่ตน ว่าเป็นหญิงสมัยใหม่ จึงชวนกลับกรุงเทพ ลงเรือ และถึงบ้าน ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ดูจะผิดไปหมดทุกอย่างต่อภรรยาเขา ตอนนี้เขารู้สึกละเหี่ยใจมาก

ย่อความหัวใจชายหนุ่ม ฉบับที่ 5 6

ฉบับที่ ห้า
นายประพันธ์จดหมายถึงนายประเสริฐ และบอกว่าตนได้รับราชการในกรมพานิชย์และสถิติ
แล้ว เขาเล่าว่า ไม่พบแม่กิมเน้ยแล้ว แต่การแต่งตัวออกจะดูเวอร์เกินไปสักหน่อย เพราะห้อยประดับด้วยเครื่องเพชรมากเกินไป
จนดูคล้ายต้นคริสต์มาส
และยังเล่าว่าผู้หญิงที่พบที่พบที่โรงพัฒนากร ชื่อ อุไร และพยายามทำความรู้จัก และได้ทราบว่าหล่อนไม่กลัวผู้กลัวผู้ชาย และเต้นรำเป็น จึงตั้งใจว่า ในงานฤดูหนาวจึงจะรีบตีสนิท และยังรู้ว่าหล่อนมีคนมาชอบเยอะ

บทที่หก
นายประพันธ์ เขียนจดหมายถึงนายประเสริฐ และกล่าวขอโทษ ที่ไม่ค่อยได้เขียนจดหมายหา นายประพันธ์ เล่าว่าน้องสาวของตน ประไพได้ติดต่อแม่อุไร และได้สนิทสนมพูดคุยกัน และต่อจากนั้นในช่วงฤดูหนาวนายประพันธ์และแม่อุไรได้ไปเที่ยวด้วยกันทุกวัน และเต้นรำด้วยกัน ทำให้ผู้ชายอีกหลายๆคน ที่ชอบแม่อุไร พากันอิจฉาไปหมด
นายประพันธ์พยายามอธิบายหน้าตาของแม่อุไรว่า สวยทั้งกริยาและหน้าตา และการพูดจา มีลักษณะคล้ายหญิงฝรั่งมากกว่าหญิงไทย เขียนหนังสือไทยเก่ง อ่านและพูดอังกฤษพอได้ เต้นรำเป็น และแต่งตัวดูดี ไม่เหมือนต้นคริสต์ มาส แหมทินแม่กิมเน้ย แล้วเล่าต่อว่า แม่กิมเน้ย งอนไม่ยอมพูดจาด้วย ไม่มองหน้า เมือเห็นตนเดินกับแม่อุไร ซึ่งในตอนแรกแม่กิมเน้ย ชวนให้เขาเข้าไปในร้านเจ้าภัคดี แต่ปฎิเสธ แต่ตอนหลังกลับกลับมาควงแม่อุไรผ่านแม่กิมเน้ย ทำให้แม่กิมเน้ยโกรธไม่ยอมพูดจาด้วย

ฟังแล้วตอบคำถาม )) ไทย

1 ผู้เขียนมุ่งเน้นการนำเสนอข้อคิดอย่าวไรบ้าง เกี่ยวกับทรรศนการศึกษา
ตอบ การศึกษาในปัจจุบัน สอนแบบในบทเรียน สอนให้ท่องจำ ผู้เขียนสื่อว่า ให้หันมามองนอกตำรา สิ่งที่อยู่รอบตัว เรียนรู้ด้วยตนเองบ้าง
2 ผู้เขียนเสนอสารหรือสาระของเรื่องว่าการศึกษาคืออะไร
ตอบ การศึกษาคือกราเรียนรู้ ที่เข้าใจ ไม่ใชท่องจำเพื่อสอบ แล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงๆ แต่ควรเรียนอย่างเข้าใจ เรียนด้วยตนเองบ้าง สัมผัสกับบทเรียนโดยตรง ต้องเรียนให้รู้จริง และเข้าใจ
3 เด็กน้อยมีทีท่าอย่างไร สะท้อนภาพสังคมอย่างไรบ้าง กล่าวถึงปัญหาอะไร แล้วมีแนวทางแก้ปัญหาหรือไม่ เพราะเหตุใด
ตอบ เด็กน่อยมีทีท่าสนใจกับการเรียนรู้ในโลกกล้วง สัมผัสกับตนเอง ที่ไม่ใช่คีในหนังสือ ท่องจำ เพราะมันไม่เกิดประโยชน
ปัญหาคือ ใช้แค่ในการสอบ แล้วไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร และไม่ได้สัมผัสกับบทเรียนจริงๆ แก้ปัญหาโดยการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำความเข้าใจด้วยตนเอง สัมผัสกับธรรมชาติ และเรียนรู้ จะได้เข้าใจ และจำได้ดีขึ้น

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ย่อความหัวใจชายหนุ่ม ฉบับที่ 1 และ 2

ฉบับที่ หนึ่ง
นายประพันธ์ได้เขียนจดหมายถึงนายประเสิรฐ และแสดงถึงความคิดถึงที่ต้องจากกัน นายประพันธ์ต้องกลับประเทศไทย
ในขณะที่นายประเสิร์ฐยังอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองไทย ในความคิดของนายประพันธ์
ซึ่งนายประพันธ์ก็ชอบประเทศอังกฤษ และยังไม่อยากกลับประเทศไทย เพราะในขณะที่อยูประเทศอังกฤษ ได้ใช้ชีวิตสนุกสนาน ทั้งดูละคร เต้นรำ และจุดสำคัญคือ ได้พบกับผู้หญิงฝรั่งที่เต้นรำด้วยกัน เพราะในไทย ผู้หญิงส่วนใหญ่รักนวลสงาวนตัวมาก จึงไม่ได้ให้แตะเนื้อต้องตัวมากนัก แต่พอกลับไทยก็รู้สึกอึดอัดใจ เพราะมีแต่พ่อและแม่ที่เป็นคนละรุ่นอายุเท่านั้น
นยระพันธ์ ได้เขียนว่าการอยู่ในเรือได้พบผู้หญิงคนหนึ่ง ในภายหลังได้คุยกัน และก็หวังว่าเมือ่หล่อนลงจากเรือ หล่อนจะแสดงท่าทีเสียใจที่จากกัน แต่ไม่มีและดูท่าทีว่า หล่อนจะมีหวานใจอยู่แล้วด้วย

ฉบับที่ สอง
นายประพันธ์เขียนจดหมายถึงนายประเสริฐ และเริ่มด้วยการขอโทษ ที่ไม่ได้เขียนดหมายหานาน และก็บอกว่ามีธุระจำเป็นตลอด เพราะพ่อของตน พาไปพบคนอื่นเพื่อทำความรู้จัก ฝากฝัง
ความต้องการของพ่อนายประพันธ์ คือให้นายประพันธ์ได้รับราชการในราชสำนัก จึไปหาผู้สำเร็จราชการ และพูดคุย แต่ก็พบว่าตำแหน่งหมด หลังจากวันนั้น พ่อนายประพันธ์ก็หาคู่หมั้นให้ ชื่อแม่กิมเน้ย ตนและพ่อจึงทะเลาะกัน เพราะนายประพันธ์ปฎิเสธการคุลมถุงชน แม่ของนายประพันธฺจึงเข้ามาช่วย และบอกให้รอพบแม้กิมเน้ยก่อนที่จะตัดสินใจ

ผลไม้มงคล ที่กินแล้วจะโชคดีตลอดทั้งปี

“ผลไม้มงคล 8 อย่าง” ที่มีความหมายดีๆ มาฝากโดยเริ่มต้นจาก.....


ผลไม้มงคล ที่กินแล้วจะโชคดีตลอดทั้งปี สาลี่ >> ทราบกันรึเปล่าจ๊ะว่าเจ้าผลไม้ลูกสีเหลือง ที่มีรสชาติหวานอร่อยนั้น ชาวจีนถือว่าเป็นผลไม้มงคล เพราะมันมีความหมายว่า “การรักษาคุณงามความดีเอาไว้อย่างมั่นคง และรักษาโชคลาภเงินทองไม่ให้เสื่อมถอยไปไหน”



องุ่น >> ผลไม้ที่มากันเป็นช่อพวง และมีรสชาติหวานนั้น มีความหมายว่า “ความเจริญรุ่งเรืองทั้งหน้าที่การงานและชีวิต”


แอปเปิ้ล >> “มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง” นี่คือความหมายของผลไม้ชนิดนี้ และการกินแอปเปิ้ลเป็นประจำทุกวัน ยังช่วยเรื่องสุขภาพได้มากมายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น การบำรุงหัวใจ ช่วยลดคอเลสเตอรอล และลดความอยากอาหารซึ่งจะช่วยควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย



ลูกท้อ >> สำหรับชาวตะวันตกแล้ว พวกเขารู้จักผลไม้ชนิดนี้ในชื่อว่า Peach แต่สำหรับชาวจีนแล้ว พวกเขาเชื่อว่าผลไม้ชนิดนี้เป็นเครื่องหมายของ “ความยั่งยืน” และเป็นผลไม้ชั้นสูง สำหรับบูชาเทพบนสวรรค์

พลับ >> เป็นไม้ผลยืนต้นขนาดใหญ่ ที่ผลพลับนั้นจะมีรสชาติหอม หวาน อร่อย และมีความหมายที่เป็นมงคลว่า “จิตใจที่หนักแน่นอย่างมั่นคง สามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ได้ไปอย่างราบรื่น มีความขยันมั่นเพียรเป็นที่ตั่ง”



ทับทิม >> เพราะทับทิมเป็นผลไม้ที่มีเมล็ดมาก ดังนั้นจึงมีความหมายว่า “การมีลูกชายมากๆ” นั้นเอง นอกจากนี้ชาวจีนยังมีความเชื่อว่า ใบทับทิม เป็นใบไม้สิริมงคลที่ใช้พรมน้ำ และเอาไว้ติดตัวเพื่อคุ้มครองกันภัยจากภูติผีปีศาจอีกด้วย

ส้ม >> เป็นผลไม้ที่มีความหมายว่า “โชคดี ประสบแต่สิ่งดีๆ เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว” ซึ่งในส้มนั้นนอกจากจะมีวิตามินซีที่สูงแล้ว เปลือกส้มที่มองภายนอกว่าไม่มีค่าก็สามารถนำมาบีบหรือคั้นเอาน้ำมันหอมระเหยออกมาดม หรือนวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการผ่อนคลาย และกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทได้อีกด้วย


เกาลัด และพุทรา >> สำหรับในงานแต่งงานแล้ว ผลไม้ 2 ชนิดนี้จะมีความหมายว่า “ขอให้มีบุตรที่ดี สุภาพ มีมารยาทดีในเร็ววัน” ซึ่งเกาลัด มีสรรพคุณช่วยบำรุงไต เสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระเพราะอาหารและลำไส้ ส่วนพุทรา เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ช่วยบำรุงเลือด และร่างกาย

ผลไม้มงคล ที่กินแล้วจะโชคดีตลอดทั้งปี


ทราบความหมายของผลไม้มงคลทั้ง 8 อย่าง กันไปแล้ว

ก็ขอให้ทุกคน กินผักและผลไม้กันเยอะๆ

เพื่อสุขภาพร่างกายจะได้แข็งแรง ไม่ป่วยไข้นะ ^^

credit :: http://www.dek-d.com/content/lifestyle/18893/ผลไม้มงคล-ที่กินแล้วจะโชคดีตลอดทั้งปี.php

USB เซฟตี้ รักษาความลับดี๊ดี

USB Wireless Security Lock ตัวช่วยขจัดปัญหาการขโมยข้อมูลจากคอมของคุณ






แต่พี่เหมี่ยวจะบอกให้นะคะว่า ปัญหานี้สามารถป้องกันด้วย ด้วยอุปกรณ์สุดเจ๋งชิ้นนี้เลยค่ะ “USB Wireless Security Lock” อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยสำหรับเครื่องพีซีที่มี USB Port นั่นเองล่ะค่ะ



ว้าววว!!! สาวๆ เริ่มสนใจแล้วใช่ไหมล่ะคะ … หลักการทำงานง่ายๆ ของเจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้ก็คือ การทำงานจะแบ่งเป็น 2 ส่วนนั่นคือฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ ซึ่งจะทำงานเหมือนกับระบบกันขโมยรถยนต์ เพียงสาวๆ เสียบตัวแม่ที่เป็น USB Drive ลงไป แล้วติดตั้งไดรฟ์เวอร์และตั้งค่าต่างๆ ให้เรียบร้อย จากนั้นก็เสียบคาเอาไว้อย่างนั้น เมื่อสาวๆ ลุกออกไปจากโต๊ะ ระบบรักษาความปลอดภัยจะทำงานในโหมด Away ไม่สามารถเปิดเข้าโปรแกรมใดๆ ได้ นอกเสียจากว่า สาวๆ จะกดตัวที่เป็นรีโมทไร้สาย เพื่อปลดล็อกนั่นเองค่ะ


USB เซฟตี้รักษาความลับดี๊ดี

โดยอุปกรณ์ชิ้นนี้มีระยะที่รีโมททำงานได้อยู่ในระยะ 2 เมตร บนความถี่ 315 - 434 MHz และถึงจะถอดเจ้าตัว USB ออกไป เครื่องจะเรียกหา Password ให้เข้าโปรแกรมทันที เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลค่ะ เห็นรึเปล่าล่ะค่ะว่ารักษาความลับและความปลอดภัยได้ดีเยี่ยมจริงๆ เลยล่ะค่ะ


ทีนี้พวกมือดีอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นก็จะไม่สามารถเข้ามาวุ่นวายกับคอมพิวเตอร์ของเราได้แล้วล่ะค่ะ รักษาข้อมูล – ความลับ ได้ดีเยี่ยมแบบนี้สงสัยต้องมีไว้ใช้บ้างแล้วล่ะค่ะ

credit : http://www.dek-d.com/content/girl/18935/USB-เซฟตี้รักษาความลับดี๊ดี.php

สองปีที่รอคอย พรุ่งนี้จะเป็นจริง

ทุกคนนนนนนนนนนนน นน ><
อยากร้องตะโกนดังๆ


"พรุ่งนี้จะไปคอนเอฟทีแล้วววววววววววววว ว"
อ่ากก ก ตื่นเต้น ดีใจ

ถึงแม้ว่า จะมีปัญหา เยอะเเยะ ก็จะอดทน เพื่อให้เจอกับพี่ๆนะ
พรุ่งนี้เรามาสนุกไปด้วยกัน
ยืนบนสถานที่เดียวกัน
ร้องเพลงด้วยกันและ


สบตา ><

อยากสบตาพี่จัง

พร่งนี้แล้วนะพี่ อยากให้ถึงตอนนั้นเร็วๆจังเลย
ขอให้ ผ่านไปด้วยดีเถอะนะ ^^

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

16 เรื่องจริงเกี่ยวกับเกาหลี ที่คุณอาจไม่รู้ !?

1. บนรถไฟใต้ดินที่เกาหลี จะมีคนเอาของขึ้นมาขายบ่อยๆ แล้วจะพูดขายของเสียงดังมาก
โดยส่วนมากจะลากใส่รถเข็นขึ้นมา ที่เห็นบ่อยๆ ก็เช่น ถุงใส่ผ้า ยาขัดรองเท้า ถุงเท้า
2. บนรถไฟใต้ดินจะมีที่นั่งของคนชรา คนท้อง และคนพิการแยกอยู่ ซึ่งคนปกติทั่วไปไม่ควรนั่งเด็ดขาดไม่งั้นจะถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ
3. คนเกาหลีจะนิยมส่งเมสเสจหากันมากกว่าโทรไปหาโดยตรง และคนเกาหลีตัวจริงจะกดแป้นโทรศัพท์กันไวมาก โดยปีล่าสุดคนเกาหลีใต้เคยไปแข่งกดส่ง sms และได้รางวัลที่ 1 ระดับโลก

4. ที่ว่าคนเกาหลีกินหมานั้นเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่ทุกคน หาได้ง่ายตามต่างจังหวัด ส่วนเมืองหลวง (กรุงโซล) อาจหายากหน่อยแต่ก็ไม่ยากเกินไป นอกจากหมาแล้ว แมวก็กินด้วย
5. ประเทศไทย นักศึกษาบางคนจะใส่ชุดนักศึกษาตัว
เล็กจนรัด แต่ที่เกาหลี นักเรียนบางคนจะใส่ชุดนักเรียนตัว
เล็กจนรัดมาก (แต่ส่วนมากจะใส่เสื้อทับนะ)

6. และชุดนักเรียนเกาหลีราคาแพงมากกกกกกกกกก
ชุดนึงตกประมาณ 7-8 พันบาทจนไปถึงเป็นหมื่นบาท
7. เด็กนักเรียนเกาหลีแทบทุกคนต้องเรียนพิเศษ การ
เรียนพิเศษเลิก 4 ทุ่มทุกวัน ถือเป็นเรื่องธรรมดา ช่วงสอบ
ปลายภาคอาจมีคอร์สพิเศษเปิดสอนถึงตี 2 โดยเฉพาะวิชา
เลขเป็นวิชาที่เด็กเกาหลีทุ่มเทมากๆๆ
8. พ่อแม่คนเกาหลีจำนวนมากยอมย้ายบ้านเพื่อมาส่งลูกเรียนในโรงเรียนดีๆ ที่อยู่ต่างเมือง
เช่น บ้านอยู่ปูซาน แต่จะส่งลูกเข้าเรียนในกรุงโซล ก็จะพากันย้ายมาอยู่โซลกันทั้งครอบครัว โดยส่วนมากจะเป็นช่วงมัธยมต้นและปลายของลูก

9. หน้างานคอนเสิร์ตทุกงาน จะมีลุงหรือป้าแก่ๆ มาขายแท่งไฟ ขายป้ายชื่อ ขายกล้องส่องทางไกลและสินค้าอื่นๆ ของศิลปิน ถ้าเป็นหน้าหนาว ลุงหรือป้าคนนั้นจะเปลี่ยนอาชีพมาเดินขายผ้าห่มหน้าคอนเสิร์ตนั้นๆ แทน
10. คนเกาหลีไม่ได้ศัลยกรรมทุกคน อย่าเข้าใจผิด เพียงแต่การ
ศัลยกรรมที่นั่นถือเป็นเรื่องธรรมดา คนจึงทำกันเยอะ อย่าไปเรียก
ประเทศเค้าว่าเป็นประเทศคนหน้าพลาสติก

11. เวลาคนเกาหลีไม่ว่าจะเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนทั่วไปไปกิน
เหล้า ส่วนมากหลังจากเปิดขวด จะใช้แก้วใบเดียวรินเหล้าแล้วค่อยๆ
ดื่มทีละคน แล้ววนกันไปจนครบทุกคนก่อน 1 รอบโดยใช้แก้วใบ
เดียวกัน หลังจากนั้นค่อยต่างคนต่างดื่ม แก้วใครแก้วมัน

12. เวลาย้ายบ้าน คนที่ย้ายไปใหม่จะต้องเอาขนมต๊อกไปมอบ
ให้แก่เพื่อนบ้าน ถือเป็นการทำความรู้จักและผูกมิตรในขั้นต้น

13. เวลาซื้อของกินตามแผงข้างทางแล้วยืนกินตรงแผงนั้น ควร
จะกินให้หมดเลย เพราะป้าเจ้าของร้านบางร้านจะเอาของที่กินไม่
หมด เอาลงไปผัดในกะทะแล้วขายต่อ





14. ในเกาหลี ผู้ชายสามารถบ้าดาราได้อย่างเปิดเผยและออกรสออกชาติมาก เวลาไปดูคอนเสิร์ตจึงไม่ต้องแปลกใจที่จะเจอแฟนคลับกลุ่มผู้ชายตะโกนโหวกเหวกยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีก

15. วันสอบเอนทรานซ์ของเด็กเกาหลี (เรียกว่าซูนึง) เป็นวันที่ถือว่าสำคัญมากๆๆ อาจารย์ผู้หญิงห้ามใส่รองเท้าส้นสูงเพราะถือว่าเดินแล้วเสียงดังจะทำลายสมาธิเด็ก คนทำงานอนุญาตให้เข้างานสายได้กว่าปกติ เพราะต้องออกจากบ้านช้า เนื่องจากให้นักเรียนรีบออกไปสอบก่อน รวมถึงในคาบสอบการฟัง สายการบินต่างๆ จะงดเที่ยวบินในช่วงเวลานั้น เนื่องจากเกรงว่าเสียงเครื่องบินจะรบกวนการทำข้อสอบ



16. มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาหลีคือ มหาวิทยาลัยโซล มหาวิทยาลัยโคเรีย และมหาวิทยาลัยยอนเซ คนเกาหลีเรียกรวมกันว่า SKY โดยมาจากตัวอักษรตัวแรกของแต่ละมหาวิทยาลัย

ที่มา http://www.dek-d.com/content/studyabroad/18742/16-เรื่องจริงเกี่ยวกับเกาหลี-ที่คุณอาจไม่รู้-.htm

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

ปุลากง

ปุลากง เป็นหนังสือนอกเวลา ที่อ่านตอนชั้น ม. สี่
เข้ม หรือศกร เป็นคนเจ้าอารมณ์ เป็นลูกของภรรยาคนที่สอง ซึ่งเข้มก็ถูกเอารัดเอาเปรียบจากพี่นอื่นๆ และพ่อก็มีความลำเอียงต่อเข้มมาก แต่ก็มีพี่เพียงคนเดียวที่เข้มรักและนับถือ คือคุณอัมพิกา ซึ่งพิการ ดินไม่ได้ เข้มมีหน้าที่ไปรับไปส่งคุณอัมพิการที่เรียนเปียโนข้างบ้าน และบ้านที่สอนเปียโนมีลูกสาวชื่อ หนูตุ่น หรือ ศุภรา และมีเพื่อนสนิทเป็นผู้ชายชื่อ วีรุทย์
ด้วยความฝังใจเเต่เด็กของเข้ม เรื่องพ่อ ทำให้เข้มตัดสินใจเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพื่อที่จบมาจะแยกตัวออกจากบ้านเดิม และพาแม่ของตนไปด้วย เข้มสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีภรรยาลายคนเดีดขาด
แต่แม่ของเข้มไม่ยอมออกจากบ้าน เพราะรักพ่อของเข้ม ยอมทน เมื่อเข้มเรียนจบ ก็ได้เป็น ร้อยตำรวจเอก พ่อก็บอกว่าจะช่วยให้ทำงานในเอง แต่เข้มไม่ยอม ยอมทำงานในถิ่นกันดาร พ่อจึงต่อว่าว่า กินอุดมการ จะได้ไม่ตายดี
เข้มได้ย้ายไปทำงานที่ภาคใต้ ซึ่งหนูตุ่นก้อทำงานที่ ปุลากง เข้มก็ทำงานแถวนั้น ต่างคนต่าง แต่ทั้งคู่ต่างไม่บอกซึ่งกันและกัน
เนื้อหาในส่วนนี้จะทรอกทรกเนื้อหา เพื่อสร้างความรักชาติตลอด
ครั้งหนึ่งวีรุทย์มีภรรยา ท้อง แต่ไม่ได้แต่งงาน แต่เต้องไปทำงานที่อื่น และเสียชีวิต ทำให้ภรรยาเขาเสียใจมาก เกิดภาพหลอน เดินลงน้ำเชี่ยว จมน้ำตาย ในขณะเดียวกันที่เข้ม ต้องย้านไปทำวานที่อันตรายมาก
ศุภราก็ได้ย้ายไปทำงาน จนพบเข้มนอนบาดเจ็บสาหัสที่โรงพยาบาล ตอนนี้ ศุภราและเข้มต่างรู้ใจตนเอง
ศุภราไปเยี่ยมลูกศิษที่ปุลากง เข้มจึงตามไปเพื่อสารภาพรัก ทั้งคู่จึงรักกัน


ข้อคิด
รักชาติ ไม่คดโกง ซื่อสัตย์
มีคู่ครองคนเดียว
รักลูกทุกคนเท่ากัน
ไม่โลภมาก

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

หลังปีใหม่

ปีใหม่ ในที่สุดก็ผ่านพ้นมา สี่วัน
เห้ออ
งานลอยมา สอบลอยมา อ่ากกก
เรื่องเศร้ามาอีกแล้ว วัยพุธอดไปดรีมเวิร์ลกะแม่ ง่า เซ็งสุดๆ
คาเรียนพิเศษเกือบหมื่นและนะ ฮึกๆ


วันนี้ไปรพ.ผิวหนังมาอีกแล้ว เก้าร้อยอีกจนได้ ไปมาห้าครั้ง ก็ สี่พันห้าแล้วสินะ
พอกันที T^T



ประหยัด มาประหยัดกันเถอะ เกรงใจแม่จัง กีหมื่น กี่แสนแล้วเนี่ยะ ปีนี้ ~

หมีแพนด้าๆ ๆ

ลองเข้าไปดูได้ที่ http://www.dek-d.com/content/lifestyle/18498/โชว์กายกรรมจากแพนด้า-ที่รับรองว่า-น่ารัก.htm นะ

นอกจากในเมืองไทยจะมี “หลิงปิง” แล้ว น้องๆ ชาว Dek-D.Com ทราบกันรึเปล่าจ๊ะว่า ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็มืแพนด้าที่น่ารัก ชื่อ “ไท่ซาน” เหมือนกันจ้ะ พี่ปัดขอบอกว่าความน่ารักของแพนด้าตัวนี้ ไม่น้อยไปกว่าหลินปิงเลยจ้ะ


โชว์กายกรรมจากแพนด้า ที่รับรองว่า "น่ารัก"



โดย “ไท่ซาน” อายุ 4 ปี เป็นแพนด้ายักษ์ที่อาศัยอยู่ในสวนสัตว์แห่งชาติกรุงวอชิงตัน ดี.ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้สร้างพฤติกรรมความน่ารักให้กับเจ้าหน้าที่ และนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมสวนสัตว์เป็นอย่างมาก เพราะ ไท่ซานที่นั่งหลับเคลิ้มอยู่ภายในกรงนั้น อยู่ๆ ก็ค่อยๆ โน้มตัวจนกลิ้งเป็นท่าม้วนหน้าตกขอบปูนซีเมนต์ลงบนสนามหญ้า

20 สิ่งที่แสดงความเป็นผู้ดีอังกฤษ

1. ยืนต่อแถว ในประเทศอังกฤษการเข้าแถวต่อคิว
ไม่ว่าจะเป็นการซื้ออาหาร การรอรถบัส หรืออื่นๆ
ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก

2. ถอดหมวกทุกครั้งเมื่อเข้าในร่ม (เฉพาะผู้ชาย)
โดยเฉพาะในโบสถ์ที่ต้องถอดหมวกทุกครั้งเมื่อเข้า
ไป แต่ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีคนจำนวนมากที่ไม่
นิยมถอดหมวกเมื่อเข้าไปในที่ร่ม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่อง
ที่ไม่สุภาพ

3. พูด "Excuse me" เช่น ถ้ามีคนมายืนขวาง
ทางเรา เราต้องพูด Excuse me เพื่อขอให้เค้า
ช่วยหลีกทาง

4. จ่ายเงินในสิ่งที่ตัวเองเป็นคนสั่ง เมื่อไปทานข้าว
กับใครก็ตาม ถ้าเราเป็นคนสั่งอาหารหรือเครื่องดื่ม
นั้นให้ฝ่ายตรงข้าม เราต้องจ่ายเงินในส่วนนั้นด้วย

5. Please / Thank you เรียกได้ว่าเป็นคำพูด
ติดปากของคนอังกฤษ ซึ่งหากใครไม่พูดคำนี้เวลา
ขอร้องและขอบคุณ ถือว่าไม่มีมารยาท

6. เมื่อต้องการไอหรือจาม ต้องใช้มือปิดปากทุก
ครั้ง



7. เมื่อได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่ ควรทักทายด้วยการจับมือขวา
8. พูดคำว่า Sorry เช่น เดินชนผู้อื่น ถึงแม้จะเป็นความผิดของอีกฝ่าย แต่เราควรจะเอ่ยปากว่า
ขอโทษก่อน
9. ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม หน้าที่ยิ้มคือหน้าที่บ่งบอกการต้อนรับผู้อื่น
10. เปิดประตูให้อีกฝ่าย ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ถ้าใครเดินถึงประตูก่อนคนแรก ต้องเป็นคนเปิดประตู
ให้อีกฝ่ายด้วย

11. ไม่ทักทายกันด้วยการจูบ จะจูบเฉพาะกับเพื่อน
สนิทหรือญาติพี่น้องเท่านั้น

12. ไม่คุยเสียงดังในที่สาธารณะ

13. ไม่จ้องมองคนอื่นในที่สาธารณะ เพราะถือว่าเป็น
การทำลายความส่วนตัว

14. ไม่ถามอายุของผู้หญิง ถือว่าเป็นการไม่
สุภาพอย่างมาก

15. ไม่ถามคำถามส่วนตัว เช่น หนักเท่าไหร่ มีเงิน
เก็บเท่าไหร่ หรือ ทำไมยังไม่แต่งงาน (คนไทยชอบ
ถามกันมากๆ)

16. ไม่พูดคุยในขณะที่มีอาหารอยู่เต็มปาก

17. ไม่เรอเสียงดังหลังจากกินหรือดื่ม แต่ถ้าอดไม่ได้
จริงๆ ก็ให้ปิดปากและเอ่ยว่า Excuse me

18. ไม่ถุยน้ำลายบนถนน ถือว่าเป็นสิ่งที่หยาบคาย
มากๆ

19. ไม่ควรผายลมในที่สาธารณะ ถ้าอดไม่ได้จริงๆ ให้พูดว่า Pardon me หรือ Excuse me
20. ไม่ควรสั่งน้ำมูกในที่สาธารณะ หรือไม่งั้นควรใช้ผ้าเช็ดหน้า
ที่มา http://www.dek-d.com/content/studyabroad/18516/-20-สิ่งที่แสดงความเป็น-ผู้ดีอังกฤษ.htm

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553

สิ้นสุด แยกย้าย

วันนี้เราก็คิดว่าบ้านใครหลายๆคนที่ไปเยี่ยมญาติ หรือญาติมาเยี่ยม ก็คงจะเริ่มแยกย้ายกันแล้ว
บ้านเราก็เหมือนกัน เริ่มแยกย้ายกันตั้งแต่เมื่อวานตอนประมาน เที่ยงคืน
ส่วนวันนี้ก็คงปรมาณบ่ายๆ จะแยกกลับบ้านอีก

เวลามันช่างผ่านไปรวดเร็ว


.... การบ้านยังไม่ได้ทำ มัวลั้นลาอยู่นั่นเอง ฮ่าๆ
งานเข้าเลย วันเสาร์แล้ว
คึๆๆ

happy new year

ปีใหม่แล้ววว ว
ปีนี้พ่อให้ notebook เป็นของขวัญ ดีใจจัด
เพราะคอมมันเต่ามาก notebook เร็วกว่าเยอะอ่ะ ฮี่ๆ

ที่บ้านเราก็เลี้ยงกัน กินหมูทะๆกันที่บ้าน
อร่อยๆ ฮ่าๆ

ปีนี้ก็ขอให้ทุกๆคน มีสุขภาพเเข็งแรง
คิดอะไรก็ขอให้สมหวังเน้อ