วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทำไมวัน ..ฮาโลวีน จึงต้องเป็นวันที่ 31 ตุลาคม??

วันฮาโลวีน หากเราคริสตังจะจัดงานวันฮาโลวีนการรับวัฒนธรรมจากประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะแผ่มาทางภาพยนตร์, ข่าวสารทางอินเตอร์เน็ต หนังสือและบทเพลง จนกระทั่งลูกหลานรับกระแสงานวัน "ฮาโลวีน" เราผู้เป็นคริสตังและผู้ใหญ่อาจจะถือว่าเป็นการสนุกรื่นเริงในบ้าน, เพื่อนบ้าน, เพื่อนๆ ของลูกๆ ใกล้หูใกล้ตาเราภายในครอบครัว ก็อาจทำได้ ซึ่งไม่ควรปล่อยลูกหลานไปจัดกันเอง หรือไปจัดกันตามสถานที่ต่างๆ เพราะเป็น เวลากลางคืนอีกทั้งเราควบคุมความปลอดภัยไม่ได้ ส่วนครอบครัวใดที่ไม่มีกระแสตะวันตก ในบ้านก็ไม่ต้องกังวลอะไรกับการจัดงานนี้อย่าลืมว่า ชาวต่างชาติที่เป็นคาทอลิก เมื่อเขาจัดงานวัน "ฮาโลวีน" (31 ตุลาคม) อันเป็นวันสุกดิบก่อนฉลองนักบุญทั้งหลายนั้น เป็นงานรื่นเริงทางสังคม มิใช่พิธีกรรมคาทอลิก แต่ควรแฝงความคิดเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายอันเป็นความเชื่อแบบคริสตังเข้าไว้ด้วย และไม่จำเป็นที่เด็กๆ จะต้องแต่งตัวเป็นนักบุญเพียงอย่างเดียว, การแต่งตัวเป็นวิญญาณต่างๆ และตัวละครที่เกี่ยวข้องกับนรก ก็สื่อความหมายดั้งเดิม การระลึกถึงวิญญาณทุกดวงของคริสตังโบราณว่าเราไม่ลืมเขา
ประวัติความเป็นมาอีกฉบับหนึ่ง ให้คำอธิบายถึงที่มาที่ไปของวันนี้ได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว เป็นความเชื่อของชาวเซ็ลต์ (Celt) เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองในประเทศอังกฤษ โดยเชื่อว่าทุกวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี จะเป็นวันที่ประตูนรกถูกเปิดขึ้นมา บรรจบกับมิติโลกมนุษย์กันอย่างพอดี ทำให้เหล่าวิญญาณพยายามหาทางเข้าสิงมนุษย์ ซึ่งวิธีการแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณเข้าสิงคือ "การปลอมตัว" ทำตัวเป็นผีเสียเอง ด้วยการตกแต่งต่างๆ นานาให้ดูน่ากลัวที่สุด เทียนและระบบทำความร้อนก็จะถูกดับ เพื่อให้ร่างกายเกิดความหนาวเย็นเปรียบเสมือนร่างกายที่ไร้ซึ่งชีวิต ส่วนบ้านเรือนจะถูกตกแต่งให้ดูน่าสะพรึงกลัว และผู้คนต่างส่งเสียงเพื่อทำการขับไล่เหล่าวิญญาณชั่วร้ายอีกทีนึง

ทั้งนี้ หลายคนต่างสงสัยว่าทำไมสัญลักษณ์ของวันฮัลโลวีน ถึงเป็นหัวฟักทองแกะสลักสีส้ม เจ้าฟักทองนั้นมีชื่อว่า Jack O Lanterns เป็นตำนานของชาวไอริช ที่เป็นนักมายากลขี้เมาและได้ทำข้อตกลงกับปีศาจตนหนึ่ง ในกรณีที่เขาเสียชีวิตแล้ว เขาขอเพียงแค่ไม่ไปทั้งสวรรค์หรือนรก เมื่อถึงคราวชีพจรดับปีศาจตนนั้นจึงมอบถ่านอันคุกรุ่นให้แก่ Jack เขาจึงนำไปใส่ไว้ในหัวผักกาดเพื่อคอยปัดเป่าความหนาวเย็น ต่อมาชาวไอรีชจึงแกะหัวผักกาด และนำถ่านมาใส่เช่นกันเพื่อเป็นสิริมงคลในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายตลอดทั้งปี เมื่อกาลเวลาผ่านไปประเพณีดังกล่าวเริ่มแพร่หลายไปสู่ประเทศอเมริกา แต่หัวผักกาดเป็นสิ่งที่หายาก จึงนำลูกฟักทองมาแกะสลักแทน และนี่คือจุดเริ่มต้นของสัญลักษณ์สีส้ม และสีดำ ทั้งนี้ สีดำบ่งบอกถึงความมืดมิดช่วงเวลากลางคืน ส่วนสีส้มคือแสงสว่างที่ลุกโชติ เพื่อขับไล่ปีศาจนั่นเอง

credit:: wikipedia.com , thaigoodview.com } www.dek-d.com

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

DIARYONLINE☆

ห่างหายไปนาน
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เปิดcomเลย กลายเป็นว่า ตอนนี้ติดการ์ตูนมากๆซะด้วย
เพราะเพิ่งได้แผ่น บลีช มา 100 ตอน นั่งดูกันตาแฉะ แต่ บลีชนี่ สนุกจริงๆ อยากจะดูตอนต่อไป
แต่รู้สึกว่า พอยิ่งโต ก็เหมือนกับจะกลับไปมีนิสัยเด็กๆอีก ช่วงนี้ อะไรแปลกๆเยอะเหมือนกันแฮะ

อ้า... อีกไม่กี่วันก็เปิดเทอมแล้วสินะ เห้อ..
คิดแล้วก็ .. ทำไม ช่วงเวลาปิดเทอมมัน ช่างสั้นจังนะ
เปิดเทอมก็มีอะไรให้ช๊อคอีก คือ คงจะไม่ได้เต้นโคฟอีกแล้วล่ะนะ
คิดแล้วก็ใจหาย มันคือความฝัน สิ่งที่เราชอบ ก็ชอบเต้นหนินะ แต่ว่า..
ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ทำให้เหนื่อยอย่างบอกไม่ถูกเลย คนที่เหลือแล้วไปรวมกลุ่มใหม่ แล้วจะสานต่อ
ก็ขอให้ ผ่านไปด้วยดี จะรอดูแล้วกันนะ เพราะตอนแรก เราก็คนแกะท่าแล้วก็สอนซะด้วย
คนที่เหลือก็ สู้ๆนะ ....
จะคอยดูแล้วกัน ว่า จะเป็นยังไง

-----------------------
พอดูการ์ตูนมากๆนี่ รู้สึกเหมือนจะติดนิสัยตัวการ์ตูนมา ไม่ไหวๆ
ดูมากไป ไม่ดีนะเนี่ยะ

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

DI.OL*diaryonline ;;ค่ายวิทย์,เด็กวิทย์~

เด็กห้อง 1-3 ม.4 ไปเข้าค่ายวิทย์ตั้งแต่วันอังคารที่ 29/09/2009 * พิธีปิดวันพฤหัสที่ 01/10/2009
เข้าค่าย 2 เดือนแหนะ =w= ''
ค่ายนี้ ตอนเเรกคิดว่า คงจะน่าเบื่อ เพราะเป็นอะไท่ดู วิชาการแบบสุดๆ
แต่พอเข้าจริงๆแล้ว ก็สนุกนิดนึง ไม่ได้วิชาการเต็มๆหรอก โดยส่วนตัวแล้ว
แล้วว่า เหมือนเป็นการซึมซับไปเองมากกว่า ทั้งการะบวนการคิด วิเคราะห์ และสังเกตสิ่งรอบๆตัว
เหมือนว่า พอยิ่งต้องทำโครงงานส่งให้ทันเวลาแล้ว ก็ยิ่งต้องคิด ยิ่งต้องสังเกต
นี่คงเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ ซึมซับวิธีการทางวิทยาศารตร์ไปเองโดยไม่รู้ตัว
จากกระบวนการคิดที่เรียกว่า FILA [Fact , Ideas , Learning Issue , Action ]
ทำให้เริ่มคิดอะไรที่เป็นลำดับขั้นตอนมากขึ้น
พูดถึงเรื่องกิจกรรม วันอังคารตอนแรกเลย เข้าฐาน ทำถั่วกรอบแก้ว
สุดยอดมาก มันขมแบบว่า ... อย่าให้บรรยายรสชาติเลยดีกว่า กินง่ายแต่ทำยากจริงๆ
ต่อมาทำจรวด ที่ต้องร่อนตรงก่อนแล้วเลี้ยวขวา แค่เอาให้ตรงนี่ยังแย่เลย เพราะ พับจรวดไม่เป็น
ยังจะให้เลี้ยวขวาก่อนถึงเสาอีก ก้อเรา ไม่ใช่น้องหม่อง ชิชะ ฮ่ะๆ ตอนหลังก็รู้ว่าต้องทำหัวให้ไปหางขวาถึงจะเลี้ยวขวา
ฐานต่อไป คือคิดได้ ทำเอง อะไรสักอย่าง ก็ทำ กระถางต้นไม้ลดโลกร้อน น่ารักมาก
เป็นแนว giftshop ดูสวย น่าใช้มากกว่าปลูกต้นไม้ งานนี้ ตกแต่งเองกับมือ ภูมิใจมากๆ
ฐานต่อมา FILA อย่างที่บอกไปแล้ว ยากเหมือนกัน แต่ถ้าเกิดลองทำซ้ำหลายๆรอบ อาจจะเข้าใจ และทำได้มากขึ้นไป
ต่อมาเป็นฐาน โรบอต ROBOT ใช้เลโก้สร้างบ้านตามข้อที่กำหนดนิดหน่อย อยู่กับพวกผู้ชายที่ทำเลโก้เป็น
ตอนแรกคิดว่าโชคดี หลังๆเริ่มคิดว่า ดีจริงเหรอเนี่ยะ
คิดดู เอาล้อมาเป็นหลังคาบ้าน ฐานนี้ฮามากๆ บ้านหลังนี้ จับทีแทบพังไม่ต้องถึงกับเขย่าหรอก แต่ก็รอดน้ำมือการเขย่าของครูได้ ถือว่าโชคดี

เรื่องการอบน้ำ ก็ถือว่าโอเค แต่มีอยู่วันนี้น้ำสกปรกมาก อาบแล้วคันเลย เลยต้องล้างตัวที่ห้องฝักบัว แต่หลังๆ น้ำเต็ม สะอาดและใสมาก

เรื่องอาหารการกิน ขอบอกว่าค่ายเด็กวิทย์ ไฮโซสุดๆ มีสลัด ไก่ทอด หมูกระเทียม ต้มจืดเต้าหู้ หมูนี่แบบ ..
เนื้อทั้งนั้น ไม่อิ่มก็เติมได้เรื่อยๆ ของหวานหลังอาหารก็มีแทบทุกมื้อ ทั้งผลไม้ น้ำผลไม้ ถั่วกรอบแก้ว สารพัด
อาหารเบรกก็มีบ่อยมาก แทบไมช่วงให้ท้องว่างเลย

เรื่องการนอน มีให้นอน 2 ห้อง ห้องแอร์ กับห้องธรรมดา แต่ห้องแอร์คนนอนกันเยอะเลยได้นอนห้องธรรมดา
ขนาดไม่มีแอร์ ช่วง หลังเที่ยงคืนที่หนาวพอสมควร ถ้านอนห้องแอร์คงทรมานน่าดู
หลับเต็มอิ่มดีๆ

วันที่สอง ไปที่ป่าชายเลน ที่บางตะบูน มดเยอะจริงๆ เจอปลาตีนแบบใกล้ชิดแบบเยอะมากๆ กระโดให้ว่อนไปหมด
มีกุ้งดีดขันดีดเสียงเพื่อแสดงอนาเขต รู้จัก ต้นโกงกาง ต้นแสม ต้นชะคราว มากขึ้น ชะคราวก็เพิ่งเคยได้ยินที่นี่ที่เเรก
ว่าใช้แทนชะอมได้แต่ไม่นิยม ต้นไม้ที่ป่าชายเลนมีรสเค็ม เพราะน้ำใต้ดิน และดิน เป็นดินเค็ม ต้นไม้ดูดน้ำและขับเกลือ
ออกมาทางใบนั่นเอง จากนั้นก็ลงเรือ ดูการเลี้ยงหอย กิจการแถบๆป่าชายลน พวกเผาถ่านเลี้ยงปลา ไข่เค็ม
ครูถ่ายรูปตอนที่หลับในเรือ ฮ่าๆ แต่โชคดีไม่มีเรา ตื่นทัน ฮี่ฮ่า
จากนั้นก็ไป เชียนหนิง seafood ก็เกี่ยวกับการทำงานในโรงงาน และไปดูที่บำบัดน้ำเสียจาการผลิตอาหารทะเลในโรงงาน
บ่อแรก เหม็นมากกก กกกก กกก... อุดจมูกแทบตาย

วันที่สาม เสนอโครงงาน โดนอีกแหนะ ใจร้ายมากอ่ะครู เรียกเลขที่ 11 ตอนแรกว่ารอด สักพัก 10 อีกสักพัก 12
งอนงอกเลยคับ แต่ก็ดี โดน คอมมเน จะได้รู้ว่าลืมอะไร ผิดพลาดตรงไหน ก่อนจะปิดค่ายก็มีรูปในงานนิดหน่อย
มีรูปตัวเองด้วย ฮาดี คึๆๆ ๆ คิดถึงบ้านนนน น

ปล.
ตอนแรก คิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับสายนี้เลยนะ ไม่ชอบเอาซะเลย ชอบถาษาและอยากเป็นไกด์ หรือครูสอนภาษา
แต่ตอนนี้ วิทย์ก้ไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่คิด แต่ ก็ยังยากอยู่ดี =w=